คำชะโนด ดินแดนแห่งตำนานพญานาค

” คำชะโนด ” ดินแดนที่ถูกร่ำลือกันว่าเป็นเขตเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับเมืองของพญานาค ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาสักการะ พ่อปู่ศรีสุทโธ ที่เชื่อว่าเป็นผู้ปกครอง วังนาคินทร์ แห่งนี้ ตำนาน “ผีจ้างหนัง” แห่งคำชะโนด

หากพูดถึงเรื่องพญานาคแล้ว คำชะโนด คงจะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ทุกท่านนึกถึงกันใช่ไหมคะ? ทุกท่านรู้ไหมคะว่าที่แห่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร วันนี้ พาไปกิน จะขอนำเอาเรื่องเล่าในตำนานมาเล่าสู่กันฟัง เรียกได้ว่าเป็นป่าในตำนานที่ชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชาวลาวให้ความนับถือ เพราะเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนาคินทร์ และวังพญานาคตำนานแห่งแม่น้ำโขง

คำชะโนด มีลักษณะเหมือน เกาะลอยน้ำ มีเนื้อที่ประมาณ 20 กว่าไร่ และมีต้นไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า “ต้นชะโนด” ขึ้นอยู่เต็มไปหมด หากผู้ใดที่ได้เข้าสัมผัสอากาศที่คำชะโนดแล้วนั้น จะมีความรู้สึกว่าที่ตรงนั้นเย็นสบายเหมือนติดแอร์เลยทีเดียว ที่แห่งนี้เมื่อถึงหน้าฝน บริเวณรอบเกาะน้ำจะท่วมทุกปี แต่ที่คำชะโนดนั้นน้ำจะไม่ท่วม เพราะดูเหมือนว่าเกาะนี้จะลอยขึ้นตามน้ำ คือ ถ้าหากน้ำขึ้นก็ขึ้นตาม น้ำลงก็ลงตาม น่าประหลาดมากๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ น้ำที่ท่วมนั้นจะเอ่อล้นมาจาก “แม่น้ำสงคราม” ซึ่ง แม่น้ำสงครามจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่คำชะโนดแห่งนี้ และมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “ปล่องพญานาค” ซึ่งเคยมีคนทดลองนำไม้ไผ่ลำยาวๆ 3 ต้นมาต่อกัน แล้วหยั่งลงไป ปรากฏว่าหยั่งไม่ถึงพื้นเลย แต่แปลกที่ว่าเมื่อโยนเหรียญลงไป จะมองเห็นเหรียญได้หมด น้ำใสมาก ชาวบ้านเลยมีความเชื่อว่า พญานาค ได้ออกมาจากปล่องนี้นั่นเอง

ปาฏิหาริย์ครั้น ปี พ.ศ.2519 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งท้องที่อำเภอบ้านดุง แต่น้ำไม่ท่วมคำชะโนด ชาวบ้านละแวกนั้นให้คำตอบไว้ว่า ที่น้ำไม่ท่วมเพราะพญานาครักษาไว้ เนื่องจากมีศาลบูชาพญานาค 2 ท่าน โดยนาคบริวารช่วยกันร่ายมนตร์แล้วหนุน ดุน ดัน แผ่นดิน เป็นเหตุให้สูงขึ้นจนพ้นน้ำ และป่าคำชะโนดกลายเป็นสถานที่อันเลื่องชื่อชั่วข้ามคืนก็เพราะเรื่องเล่า “ผีจ้างหนัง” อันสุดแสนมหัศจรรย์พันลึกที่เกิดขึ้น เมื่อบริษัทหนังแจ่มจันทร์ บริษัทหนังชื่อดังของภาคอีสาน ถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงในหมู่บ้านวังทอง ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง

เมื่อหนังเริ่มฉายตั้งแต่หัวค่ำ ปรากฎว่าไม่มีผู้คนมาดูเลย พอ 3 ทุ่ม จึงมีคนมาดูจำนวนเยอะมาก แต่ที่แปลกก็คือ ผู้หญิงจะนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำนั่งอีกข้าง และทั้งหมดก็นั่งกันสงบเรียบร้อยเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวตัวเลย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะฉายหนังอะไรก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนหนังกลางแปลงทั่วไป

“ฉายหนังบู๊ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เงียบ แต่ที่น่าแปลกคือ ในงานไม่มีร้านขายของกินของใช้ แม้แต่ร้านขายบุหรี่ก็ไม่มี” นี่เป็นคำบอกเล่าของ เจ้าของกิจการภาพยนตร์ แจ่มจันทร์ ผู้ที่ถูกว่าจ้างให้ไปฉายหนังในวันนั้น

อีกทั้งบ่อน้ำที่อยู่กลางดงชะโนดแห่งนี้ เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆ แต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่า บ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า สำหรับบ่อน้ำในป่าคำชะโนด ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วย ไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่กับทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้า แทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิม เช่นเดียวกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสป่าลี้ลับคำชะโนดก็ต้องสำรวมและปฏิบัติตามข้อห้ามอย่างเคร่งครัด

ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าไปสักการะ

ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน ความเชื่อเรื่องพญานาคของคนที่นี่อาจไม่แตกต่างจากชาวหนองคาย ที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง บั้งไฟพญานาคเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแห่งเมืองบาดาล ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาเหมือนเมื่อครั้งถูกนำเสนอผ่านหนัง รวมถึงสื่อทีวีบางช่องเมื่อหลายปีก่อน ชาวบ้านละแวกป่าคำชะโนดก็คล้ายกัน พวกเขาสร้างทางเดินที่เชื่อมจากโลกภายนอกกับผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ด้วยกัน รูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร นอนเลื้อยยาวไปจนสุดทางเดินราว 300 เมตร เพื่อสะท้อนถึงพลังอำนาจและบารมีของพญานาคราช กระทั่งในวันออกพรรษาขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่าเป็นวันที่พญานาคจะขึ้นมาหายใจ ดวงไฟสีแดงที่ผุดกลางบ่อน้ำแล้วลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า (คล้ายกับบั้งไฟพญานาคผุดกลางลำน้ำโขงที่ จ.หนองคาย) คือ ลมหายใจพญานาค

เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องราวของป่าคำชะโนด เชื่อเหลือเกินว่าหากใครได้มีโอกาสเข้าไปในสถานที่แห่งนี้ ก็คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆ กันคือ ขนลุก เพราะภายในสถานที่แห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์และความขลังในตัว จึงทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสักการะกันอย่างไม่ขาดสาย