เที่ยวสังขละบุรี เมืองชื่อดังมหัศจรรย์วัดจมน้ำ
พา เที่ยวสังขละบุรี วัดจมน้ำ หรือวัดวังก์วิเวการาม ตั้งอยู่ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ Unseen ที่สุด ซึ่งหลวงพ่ออุตตมะ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2498 อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี มารวมกันเป็นแม่น้ำแควน้อย สาเหตุที่วัดจมน้ำเกิดจากการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ จึงทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นท่วมตัววัด และถูกปล่อยให้จมอยู่ใต้น้ำ จนเป็นที่รู้จักกันในนามของ “วัดจมน้ำ” หรือ เมืองบาดาล
หากพูดถึง อ.สังขละบุรี หลายคนอาจกำลังนึกถึงสะพานมอญเป็นส่วนใหญ่ แต่อีกหนึ่งสถานที่อันสุดมหัศจรรย์ และ Unseen ที่ไม่ควรพลาดเลยคือ “วัดจมน้ำ” ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คชื่อดังที่นักท่องเที่ยวอยากเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศอันแสนบริสุทธิ์ จากความเป็นธรรมชาติของเมืองแห่งนี้ แต่รู้ไหมว่าทำไมวัดถึงจมน้ำ และจมได้อย่างไร? วันนี้ Parpaikin จะพาคุณไปหาคำตอบของเรื่องนี้กันค่ะ
เรื่องราวของวัดจมน้ำ แหล่งท่องเที่ยวสังขละบุรี
วัดจมน้ำ หรือวัดวังก์วิเวการาม อยู่ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่มีนักท่องเที่ยวอยากจะเข้าไปสัมผัสบรรยากาศที่บริสุทธิ์ ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2498 เป็นวัดที่เกิดจากพลังความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลวงพ่ออุตตมะ และชาวมอญ ร่วมใจกันสร้างขึ้นอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือบริเวณเนินที่มีแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี มารวมกันเป็นแม่น้ำแควน้อย
-แม่น้ำบิคลี่ เกิดจากลำห้วยทางทิศตะวันออกของลำน้ำแควน้อย เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่สำคัญ แม่น้ำมีความยาวประมาณ 70 กิโลเมตร บริเวณริมน้ำเป็นที่ตั้งของบ้านเรือนชาวมอญ
-แม่น้ำซองกาเลีย เป็นแม่น้ำจากทางตอนเหนือ คำว่าซองกาเลียภาษามอญหมายถึง “ฝั่งโน้น” เกิดจากแม่น้ำซองกาเลียในพม่า และห้วยโรคี่จากป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แม่น้ำมีความยาวประมาณ 50 กิโลเมตร ท้องน้ำลาดชัน มีเกาะแก่งหลายแห่ง สองฝั่งลำน้ำเป็นผืนป่าอุดมสมบูรณ์
-แม่น้ำรันตี เป็นภาษากะเหรี่ยง หมายถึง “ยอดน้ำ” ต้นน้ำเกิดจากป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ความยาวแม่น้ำประมาณ 60 กิโลเมตร ท้องน้ำลาดชันไม่มาก สภาพป่าสองฝั่งแม่น้ำยังอุดมสมบูรณ์ มีหน้าผาหินปูนกว้างใหญ่หลายแห่ง บริเวณริมน้ำมีบ้านเรือนชาวลาว-พม่า
ในปี พ.ศ.2527 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีโครงการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เขื่อนเขาแหลม เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเมื่อเก็บกักน้ำหลังเขื่อนแล้ว ทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นจนท่วมตัวอำเภอเก่าในพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ หมู่บ้านชาวมอญอีกกว่า 1,000 หลังคาเรือน รวมถึงวัดวังก์วิเวการามเดิมด้วย ทางการจึงต้องอพยพชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบออกจากบริเวณที่น้ำท่วม และย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขาด้านฝั่งตะวันตกของลำน้ำแควน้อยในปัจจุบัน ส่งผลให้บริเวณวัดเดิมต้องถูกปล่อยให้จมอยู่ใต้น้ำ และเป็นที่รู้จักกันในนามของ “วัดจมน้ำ” หรือ เมืองบาดาล จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในแบบ Unseen Thailand
ปัจจุบันบริเวณสามประสบนี้กลายเป็นแอ่งน้ำใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำในฤดูฝน จึงทำให้ไม่สามารถเห็นเป็นจุดบรรจบของสามสายน้ำได้ชัดเจนอีกแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวบริเวณวัดจมน้ำจะต้องนั่งเรือเช่าเหมาลำ เพื่อมาจุดที่เคยเป็นวัดวังก์วิเวการามเก่านี้เท่านั้น มาเที่ยวได้ในช่วงหน้าแล้ง ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม น้ำในแม่น้ำจะลดลงมาก จนสามารถเดินเข้าไปในโบสถ์เก่าได้ ซึ่งสิ่งที่เหลือไว้ให้เห็นก็จะเป็นส่วนของกำแพงด้านนอกโบสถ์ ตัวโบสถ์เหลือเพียงผนัง
ไม่มีส่วนหลังคาโบสถ์ให้เห็น ภายในผนังโบสถ์ยังมีลวดลายศิลปะแบบมอญหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง เป็นลายซุ้มองค์พระพุทธรูปอยู่ตามผนัง เดิมมีทั้งหมด 2500 องค์ แต่ก็มีหลายส่วนที่หลุดหายออกไปเพราะโดนน้ำกัดเซาะบ้าง หลุดหล่นลงมาแตกบ้าง สำหรับช่องประตูหน้าต่างยังคงเห็นร่องรอยกรอบของซุ้มประตูหน้าต่าง เป็นลวดลายปราสาทยอดแหลม ด้านหน้าโบสถ์ยังเหลือส่วนที่เคยเป็นบันไดทางขึ้น ส่วนซุ้มประตูทางเข้าเขตอุโบสถมีให้เห็นเพียงซุ้มประตูบางด้าน บริเวณด้านนอกโบสถ์จะเห็นเศียรพระหักวางไว้ ส่วนภายในมีรูปถ่ายหลวงพ่ออุตตมะให้นักท่องเที่ยวได้สักการะบูชา ซึ่งจะมีเด็กๆ ชาวมอญคอยเดินขายดอกไม้ และคอยเป็นไกด์ให้ด้วย
สำหรับในช่วงหน้าหนาว หรือหลังฤดูฝน การชมวัดใต้น้ำทำได้เพียงล่องเรือไปยังบริเวณใกล้กับโบสถ์ ซึ่งอาจจะได้เห็นแค่บางส่วนของตัวโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำ บางครั้งก็จมน้ำเป็นเมืองบาดาลไปแล้ว จะมีให้เห็นก็เพียงแต่ยอดหอระฆังเดิมเท่านั้นที่สูงพ้นน้ำ หรือในฤดูน้ำมากก็อาจไม่เห็นเลย
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวความเป็นมาของวัดจมน้ำ ซึ่งถ้าใครอยากไปสัมผัสความ Unseen แบบนี้ล่ะก็ ไม่ควรพลาด รับรองว่าคุณจะต้องได้ภาพสวยๆ และความประทับใจกลับมาด้วยอย่างแน่นอน แต่ เอ๊ะ…ถ้าจะไปเที่ยวควรศึกษาดูก่อนนะคะว่าช่วงไหนน้ำขึ้น-น้ำลด ไม่อย่างงั้นไปเก้อก็ไม่รู้ด้วยนะ
เรียบเรียงโดย อันดามัน
เป็นผู้ที่หลงรักทะเลสีครามของอันดามันมีความหลงใหลในการท่องเที่ยว และมักเกิดอารมณ์สุนทรีชอบเขียนบทความต่างๆ จากประสบการณ์เที่ยวแต่ละครั้ง และยังมีความชื่นชอบเสาะหาร้านอร่อยมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะ