ข่าวสาร/กิจกรรม

รู้หรือไม่ : ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าตั้งแต่ดิบยันสุก

กล้วยน้ำว้า ถือว่าเป็นผลไม้ที่หาได้ง่ายในประเทศเรา และหลายคนนิยมกินกันมาก เพราะหากินง่าย มีรสชาติอร่อย มีประโยชน์อย่างมากมาย ถือว่าเป็น หนึ่งในผลไม้ที่ให้คุณค่า และสามารถป้องกันโรคต่างๆ ของร่างกายได้มากที่สุดเลยทีเดียวค่ะ ในกล้วยนั้นอุดมไปด้วยวิตามิน B1 B2 ที่ช่วยเรื่องการเผาผลาญน้ำตาล ไขมัน และยังมีโพแทสเซียมสูง ช่วยในการลดความดันเลือด และอาการบวมของร่างกาย นอกจากนั้นยังมีเส้นใยอาหารจำนวนมาก ทำให้ช่วยในเรื่องการขับถ่าย และสารเซโรโทนิน ที่ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้หลับง่าย และสบายขึ้นด้วยค่ะ วันนี้ Parpaikin จะมาบอกเล่า ข่าวล่าสุด เกี่ยวกับประโยชน์ของกล้วยน้ำว้า ตั้งแต่ตอนที่ยังดิบไปจนถึงตอนสุกงอมนะคะ ว่ามีอะไรกันบ้าง ซึ่งแต่ละช่วงอายุก็จะมีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไปค่ะ

1.ช่วงดิบ

ในกล้วยดิบนั้นจะมีสารรสชาติฝาดที่ชื่อว่า แทนนิน มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยทำให้ผนังลำไส้มีความแข็งแรง แก้โรคท้องเสีย กากินกล้วยตอนที่ยังดิบนี้ก็ถือว่าจะยากทีเดียว เนื่องจากความฝาดของมัน คุณสามารถฝานกล้วยให้เป็นแว่นบางๆ จากนั้นนำไปอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ห้ามมากไปกว่านี้ค่ะ เพราะความร้อนสูงจะทำลายสารที่มีประโยชน์ในกล้วยได้ จากนั้นนำมาบดให้เป็นผงละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนชา หรือผสมกับน้ำผึ้ง ดื่มวันละ 3 เวลาก่อนอาหาร ซึ่งจะสามารถรักษาและป้องกันโรคกระเพาะได้อย่างดีทีเดียว

2.ช่วงห่าม

ขณะที่กล้วยยังมีเปลือกสีเขียวอยู่บ้าง มีความแข็งอยู่นิดหน่อย ถือว่าเป็นช่วงที่กินดีมากสำหรับคนที่มีอาการท้องเสียค่ะ เป็นการเพิ่มกากอาหาร และเป็นการช่วยหล่อลื่นลำไส้ กล้วยในช่วงนี้นั้นจะมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่ม และชดเชยโพแทสเซียมให้กับคนที่มีอาหารท้องเสีย เพราะถ้าหากว่าผู้ป่วยสูญเสียโพแทสเซียมไปมากๆ จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ โดยเฉพาะในคนวัยชราค่ะ นอกจากนั้นยังมีสารเซโรโทนินอยู่มากที่จะช่วยกระตุ้นให้ผนังของกระเพาะอาหารนั้นสร้างเยื่อเมือกขึ้นมาเพื่อช่วยเคลือบ และรักษาแผลในกระเพาะ

3.ช่วงสุก

ในกล้วยสุกนั้นจะมีผลตรงกันข้ามกับกล้วยดิบค่ะ คือ จะช่วยในเรื่องการขับถ่ายทำให้ถ่ายง่ายขึ้น แก้โรคท้องผูก เพราะกล้วยในช่วงวัยนี้จะมีสารที่ชื่อ เพกติน อยู่มาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มกากอาหารในลำไส้ ยิ่งสุกงอมมากก็จะมีสารตัวนี้เพิ่มมากขึ้นค่ะ แต่ฤทธิ์ของกล้วยน้ำว้าสุกจะไม่รุนแรงมาก ไม่ใช่ว่ากินผลเดียวแล้วเห็นผลเลย ต้องกินประมาณวันละ 5-6 ลูกเป็นประจำทุกวัน ซึ่งจะทำให้อุจจาระของคุณนั้นมีลักษณะเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่น สำหรับเวลากินกล้วยแบบสุกนั้น ควรเคี้ยวเยอะๆ ให้ละเอียดค่ะ เพราะมีแป้งเป็นส่วนผสมอยู่ถึง 25% หากว่าคุณเคี้ยวไม่ละเอียดพอ รีบกลืนลงไป จะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกแน่น ได้ค่ะ โดยเฉพาะในเด็กเล็กควรบดกล้วยให้ละเอียดก่อนที่จะป้อนเด็กค่ะ

4.ช่วงสุกงอม

ในกล้วยที่สุกงอมเต็มที่นั้นจะเต็มไปด้วยสารที่เรียกว่า TNF – Tumor Necrosis Factor ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับเซลล์ต่างๆ ที่ผิดปกติในร่างกายค่ะ ยิ่งตัวเปลือกกล้วยมีจุดดำเพิ่มมากขึ้นเท่าไร ก็จะมีสารนี้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ทำให้เกิดภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มมากขึ้น สำหรับใครที่เห็นว่าเปลือกกล้วยดำแล้วมีจุดๆ ขึ้นไม่สวยงามแล้วไม่กิน ขอให้คิดใหม่นะคะ ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการทำการทดลองประโยชน์ที่ได้จากผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วยน้ำว้า องุ่น แอปเปิล แตงโม ลูกพลับ สับปะรด ปรากฏว่ากล้วยน้ำว้านั้นสามารถช่วยให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้น เป็นการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

วันนี้ก็ได้ทราบกันแล้วนะคะ ว่าประโยชน์และสรรพคุณของกล้วยน้ำว้านั้นมีมากมายหลากหลาย กินได้ตั้งแต่กล้วยดิบไปจนถึงกล้วยที่สุกงอมเลยทีเดียวค่ะ โดย ข่าวล่าสุด ที่ Parpaikin ได้ข้อมูลมา พบว่า ทางการแพทย์ได้ทำการวิจัยและแนะนำว่าเราควรกินกล้วยน้ำว้าทุกวัน วันละ 1-2 ลูก หากใครที่อยากลดน้ำหนักก็แนะนำให้กินเป็นมื้อเช้าตามด้วยน้ำเปล่า จะช่วยให้ท้องอิ่มได้ค่ะ และยังเป็นการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคต่างๆ ให้แก่ร่างกาย เช่น โรคไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาว ซึ่งสามารถในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายอีกด้วยค่ะ