สูตรทำขนมเค้กแคลอรี่ต่ำ – ประเด็นหลัก
สาวๆ ที่ชื่นชอบการกิน ขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ แต่ต้องคอยกังวลกับปัญหาน้ำหนักที่จะตามมา วันนี้เราเลยมีสูตรทำ ขนม แบบง่ายๆ แถมแคลอรี่ต่ำ ที่สาวๆ จะหมดกังกลกับปัญหาเรื่องน้ำหนักมาฝากกันค่ะ
ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบการกินขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ แต่กลัวอ้วน ทั้งแป้ง น้ำตาล และไขมันอิ่มตัว ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร เลิกกังวลได้แล้วค่ะ เพราะเรามีสูตรขนมหวานจานโปรด แคลอรี่ต่ำมาแจกให้กับคุณ ไม่ทำลายแผนไดเอทของคุณแน่นอน รับรองได้เลยว่าต้องถูกใจผู้รักสุขภาพ มาดูกันดีกว่าว่ามีเมนูไหนที่น่าสนใจบ้าง
1.เค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง
หากพูดถึงเค้กช็อกโกแลตแล้วละก็ คงเป็น ขนม ชิ้นโปรดของสาวๆ หลายคน ด้วยความหวานหอม นุ่มลิ้น มีความกลมกล่อม ตั้งแต่คำแรกที่ตักเข้าปาก แต่หากเป็นขนมเค้กสูตรธรรมดาก็เสี่ยงเรื่องน้ำหนักขึ้น ถ้าอย่างนั้นลองเปลี่ยนมากินขนมเค้กช็อกโกแลตสูตรไร้แป้งกันค่ะ เหมาะสำหรับคนที่ชอบกินช็อกโกแลต กัดเข้าไปคำแรกก็จะเจอแต่เนื้อช็อกโกแลตล้วนๆ ฟินแบบไร้แป้งอร่อยดีออก
ส่วนผสม
- ไข่ไก่ 8 ฟอง
- ดาร์กช็อกโกแลตสับ 2 ถ้วย
- เนยจืด 1 ถ้วย
- น้ำตาลไอซิ่ง (สำหรับโรยหน้า)
- ราสป์เบอร์รี หรือ สตรอว์เบอร์รี (สำหรับตกแต่ง)
วิธีทำ
อันดับแรกให้วอร์มเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส จากนั้นใช้กระดาษไขรองพิมพ์เตรียมไว้ ให้ใช้พิมพ์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้ว ทำการแยกไข่ขาวกับไข่แดงออกจากกัน นำไข่แดงกับน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะผสมกัน ใช้ตะกร้อตีด้วยความเร็วประมาณ 5 นาที เมื่อขึ้นฟูจนเข้ากัน นำไปพักไว้ก่อน
ถัดมาใส่ดาร์กช็อกโกแลตกับเนยจืดลงในชามทนความร้อน นำไปทำให้ละลายบนปากหม้อต้มน้ำที่เดือดแล้ว หรือนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 30 วินาที จากนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกนำมาคนผสมให้เข้ากันกับไข่ที่พักไว้เมื่อสักครู่ นำส่วนผสมเค้กเทใส่ลงในพิมพ์ เกลี่ยหน้าให้เรียบเนียน อบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 20-25 นาที
ระหว่างรอให้ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทรายจนขึ้นฟู แล้วค่อยๆ เทช็อกโกแลตส่วนที่เหลือเข้าไปผสมจนเข้ากันดี นำส่วนแรกที่อบเสร็จแล้วออกมา เทส่วนที่สองลงไป แล้วนำไปอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 นาที เมื่อครบกำหนดให้ลดไฟลงเหลือ 160 องศาเซลเซียส อบต่ออีก 20 นาที เสร็จแล้วนำเค้กออกมาพักไว้ให้เย็นค่ะ โรยไอซิ่ง และตกแต่งหน้าเค้กด้วยราสป์เบอร์รี หรือสตรอว์เบอร์รีทำให้น่ากินยิ่งขึ้นค่ะ
2.แพนเค้กข้าวโอ๊ต
อีกหนึ่งเมนูสำหรับสาวๆ ที่กำลังลดน้ำหนักค่ะ ต้องนี่เลย! แพนเค้กข้าวโอ๊ต ไว้กินตอนเช้า หรือทำเป็นอาหารว่างช่วงวันหยุดก็ได้ แต่ถ้าให้ทำแพนเค้กอย่างเดียวก็จะดูธรรมดาเกินไปหน่อย งั้นลองทำแพนเค้กแบบมีไส้ เพื่อเพิ่มความอร่อยกันดีกว่า เพราะจุดเด่นของขนมชนิดนี้จะอยู่ตรงไส้เนยถั่วที่ผสมกับดาร์กช็อกโกแลต แล้วตัดความเลี่ยนด้วยผลไม้รสเปรี้ยวอย่างสตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี และราสป์เบอร์รีค่ะ
ส่วนผสม
- ข้าวโอ๊ต บด 1/2 ถ้วย
- นมสด 1/2 ถ้วย
- กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- ดาร์กช็อกโกแลต
- น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
- เนยถั่ว (ตามชอบ)
- น้ำเชื่อมเมเปิ้ล (สำหรับราด)
- บลูเบอร์รี และราสป์เบอร์รี
วิธีทำ
เตรียมส่วนประกอบครบแล้วมาลงมือทำกันเลยค่ะ ให้เพื่อนๆ ตีไข่ไก่ กลิ่นวานิลลา นมสด และน้ำผึ้งให้เข้ากัน จากนั้นใส่ข้าวโอ๊ตบดตามลงไป ผสมให้พอเข้ากัน พักไว้ประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ตัวข้าวโอ๊ตดูดซึมส่วนผสมที่เป็นของเหลว
เมื่อทำเครื่องแพนเค้กเสร็จแล้ว ให้ตั้งกระทะเทฟลอน ใช้ไฟปานกลาง ตักส่วนผสมที่ทำไว้เมื่อสักครู่ลงในกระทะ กวาดให้เป็นแผ่น รอจนแพนเค้กเริ่มมีฟองอากาศจึงกลับด้าน เมื่อสุกแล้วให้ตักใส่จาน ตักเนยถั่วประมาณ ½ ช้อนโต๊ะ ทาลงไปตรงกลางแผ่น ตามด้วยดาร์กช็อกโกแลตวางทับลงไป ทำสลับกันไปแบบนี้ตามชอบเลยค่ะ ใครอยากได้กี่ชิ้นก็เอาให้เต็มที่ สุดท้ายตกแต่งหน้าแพนเค้กด้วยบลูเบอร์รี และราสป์เบอร์รี เสิร์ฟคู่กับน้ำเชื่อมเมเปิ้ลเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
3.ชิฟฟ่อนส้ม
หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบขนมที่นุ่มละมุนลิ้น ชิฟฟ่อนก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกไว้สำหรับกินรองท้อง หรือเป็นของว่างในระหว่างวันของสาวๆ ได้ค่ะ หากได้กินชิพฟ่อนเนื้อนุ่ม หอมกลิ่นส้มอ่อนๆ พร้อมกับกาแฟสักแก้ว รับรองได้เลยค่ะว่าจะทำให้คุณอิ่มท้องไปได้หนึ่งมื้อเลยทีเดียว ถ้าพูดถึงเรื่องการทำก็ไม่ได้ยุ่งยากเลยค่ะ เรามาดูส่วนผสมกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง จะได้ลงมือทำกันต่อเลย
ส่วนผสม
- แป้งเค้ก 2¾ ถ้วย
- น้ำตาลทรายป่น 1½ ถ้วย
- ผงฟู 1½ ช้อนชา
- เกลือป่น ¼ ช้อนชา
- ไข่แดง 8 ฟอง
- น้ำส้ม ¾ ถ้วย
- น้ำมันพืช ¾ ถ้วย
- ไข่ขาว 8 ฟอง
- ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 ช้อนชา
- ถาดอบขนาด 9×13 นิ้ว 1 พิมพ์
วิธีทำ
ให้เพื่อนๆ วอร์มเตาอบรอไว้ที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ใช้ไฟบนล่างจากนั้นให้วางกระดาษรองอบบนพิมพ์ที่เตรียมไว้ แล้วมาทำส่วนผสมแห้งกันก่อนค่ะ นำแป้งเค้ก น้ำตาลทรายป่น 1 ถ้วย ผงฟู และเกลือป่นลงในตะแกรงร่อน และทำการร่อนของทั้งหมดลงในอ่างผสม
นำไข่แดง น้ำส้ม และน้ำมันพืชผสมและตีให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว แล้วค่อยๆ เทส่วนผสมแห้งที่เตรียมไว้เมื่อสักครู่ลงตีผสม ประมาณ 2-3 นาที จนตั้งยอดอ่อน เสร็จแล้วนำพักไว้
ถัดมาเป็นส่วนของไข่ขาวค่ะ ให้เพื่อนๆ ตีไข่ขาวจนเป็นฟอง ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ ตามด้วยน้ำตาลทรายป่นที่เหลือ ½ ถ้วย ตีไปเรื่อยๆ จนตั้งยอดแข็ง แล้วจึงตักไข่ขาวที่ตีไว้ ผสมเข้ากับส่วนผสมที่พักไว้ข้างต้น ค่อยๆ คนให้เข้ากัน จากนั้นเทใส่ลงพิมพ์ นำเข้าเตาอบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เมื่อสุกแล้วนำออกจากพิมพ์ หั่นแบ่งเป็นชิ้นขนาดตามชอบ ทาไส้แยมหรือไส้ครีมก็ได้ตามชอบ เป็นอันเสร็จค่ะ เห็นไหมคะว่าทำชิฟฟ่อนไม่ยากอย่างที่คิดเลย
4.เค้กกล้วยหอม
มาต่อกันด้วยเค้กยอดฮิตที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ หากมีกล้วยเหลือๆ ไม่อยากปล่อยเน่าเสียไปเปล่าๆ ลองมาทำเป็นเค้กกล้วยหอมแสนอร่อย ใช้เวลาทำไม่มาก ขั้นตอนก็ไม่ยากเกินไป ยิ่งตอนนำเข้าเตาอบด้วยแล้วละก็ กลิ่นจะยิ่งหอมหวนชวนให้อยากลิ้มลองรสชาติซะเหลือเกิน เพียงกัดชิมเข้าไปคำแรกเนื้อเค้กที่แสนเนียนนุ่ม กลิ่นเนยนมหอมติดปาก ถ้านำไปแช่เย็นก่อนก็จะยิ่งฟินมากขึ้นค่ะ
ส่วนผสม
- เนยเค็ม 250 กรัม (หั่นเป็นชิ้นเล็ก)
- น้ำตาลทรายละเอียด 1½ ถ้วย
- ไข่ไก่ 4 ฟอง
- กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
- นมสด 4 ช้อนโต๊ะ
- กล้วยหอมสุกบด 1½ ถ้วย
- แป้งอเนกประสงค์ 2 ถ้วย
- ผงฟู 1 ช้อนชา
- เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
วิธีทำ
วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียสเตรียมไว้ ใช้ส้อมบดกล้วยใส่ชาม เติมนมสด และกลิ่นวานิลลาลงไปผสมให้เข้ากัน แล้วนำพักไว้ ถัดมาผสมแป้ง ผงฟู และเบกกิ้งโซดาเข้าด้วยกัน นำพักไว้เช่นกันค่ะ
เมื่อจัดเตรียมวัตถุดิบข้างเรียบร้อย ตีเนยด้วยตะกร้อมือให้ขึ้นฟูจนเป็นสีขาวนวล ทยอยใส่น้ำตาลทรายป่นละเอียดลงไป ตีผสมให้เข้ากันค่ะ ระหว่างตีน้ำตาลทรายกับเนย ให้แบ่งใส่สัก 2-3 ครั้งนะคะ เพื่อให้น้ำตาลละลายง่ายนั่นเองค่ะ จากนั้นใส่ไข่ไก่ลงไปตีทีละฟอง ตีให้พอหมดลิ่มไข่แล้วจึงใส่ใบต่อไป ทำแบบนี้จนครบ 4 ฟองค่ะ
ใส่กล้วยบดลงไปตีผสมให้เข้ากัน ตามด้วยส่วนผสมจากแป้ง ผงฟู และเบกกิ้งโซดาเมื่อครู่ ค่อยๆ ตะล่อมจนเป็นเนื้อเดียวกัน ตักใส่พิมพ์มัฟฟินที่เตรียมไว้ นำเข้าเตาอบ 15-20 นาที เมื่อครบกำหนดเวลา ให้ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มลงไปยังตัวเค้กเพื่อเช็กดูว่าสุกหรือยัง หากไม่มีเศษแป้งติดมาก็ถือว่าเรียบร้อยค่ะ วางพักทิ้งไว้ให้เย็นลง แกะออกจากพิมพ์ เพียงเท่านี้ก็พร้อมรับประทานแล้วค่ะ ได้รสชาติอย่างไรมาบอกเราด้วยนะคะ
5.บลูเบอร์รี่ชีสพาย
บลูเบอร์รี่ชีสพาย เป็นอีกหนึ่งเมนูขนมหวานที่คนชอบเบเกอรี่มักสั่งทาน ด้วยรสชาติเปรี้ยวอมหวานของซอสบลูเบอร์รี่ ตัดกับครีมชีสรสหวานเนียนนุ่มพร้อมกลิ่นหอม ผสมผสานกับความกรุบกรอบของฐานพาย ทำให้อร่อยแบบลงตัวสุดๆ ไปเลยค่ะ บอกได้คำเดียวว่าฟินมาก
ส่วนผสม
- แคร็กเกอร์บดละเอียด 1½ ถ้วย
- น้ำตาลไอซิ่ง แบ่งเป็น 1 ช้อนโต๊ะ กับ 50 กรัม
- เนยสดชนิดจืดละลาย 1 ถ้วย
- เจลาติน 2 แผ่น
- น้ำเย็น (สำหรับแช่เจลาติน)
- น้ำอุ่น (สำหรับตุ๋นเจลาติน)
- วิปครีม ชนิดจืด 75 กรัม
- นมสด 25 กรัม
- ครีมชีส 100 กรัม
- น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
- บลูเบอร์รีกวนสำเร็จรูป (สำหรับราดหน้า)
วิธีทำ
มาเริ่มทำกันเลยดีกว่าค่ะ อันดับแรก นำแครกเกอร์บดละเอียด น้ำตาลไอซิ่ง 1 ช้อนโต๊ะ และเนยสดผสมรวมกันในภาชนะ เสร็จแล้วนำไปกรุลงพิมพ์ให้มีความหนาประมาณ 1 เซนติเมตร และแช่ตู้เย็นเตรียมไว้ จากนั้นนำเจลาตินไปแช่น้ำเย็นจนนิ่ม ต้มในน้ำอุ่นต่อจนละลาย พักไว้
ตีวิปครีมกับนมสดจนตั้งยอดอ่อน แล้วพักไว้ จากนั้นผสมครีมชีสกับน้ำตาลไอซิ่ง 50 กรัม ให้เข้ากันแล้วใส่ลงในหม้อตุ๋น คนจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วยกลง ใส่น้ำมะนาว วิปครีม และเจลาตินลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง
เทส่วนผสมครีมชีสลงในพิมพ์ที่กรุด้วยแครกเกอร์เมื่อสักครู่ และนำไปเข้าตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะแข็งตัว เมื่อเสร็จแล้วก็ราดหน้าด้วยบลูเบอร์รีกวนเป็นอันพร้อมเสิร์ฟค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะกับสูตรการทำ ขนม แคลลอรี่ต่ำในรูปแบบต่างๆ ที่เรานำมาฝากกัน ถูกใจเมนูไหนกันบ้างคะเนี่ย เราเชื่อว่าน่าจะเกือบทุกเมนูเลยใช่ไหมคะ? เพราะสาวๆ กับของหวานนั้นเป็นของคู่กัน แม้จะกำลังไดเอทก็รับประทานแต่พองาม อิอิ ลองเอาสูตรเค้กของเราไปทำกันดูนะคะ รับรองเลยว่าอิ่มอร่อย แถมไม่อ้วนอีกด้วยค่ะ
นามปากกา เรด้าห์
เป็นเรด้าห์ที่คอยติดตามเรื่องกินเรื่องเที่ยวชอบเสาะแสวงหา สถานที่แปลกใหม่อยู่เสมอ ปัญหาสำคัญนั่นก็คือ !! ถึงจะเป็นนักเขียน เรื่องเที่ยวก็ทำให้น้ำหนักไม่ค่อยจะลดลงซะที